ไส้ติ่งอักเสบ: วิกฤตที่ต้องรีบรักษาก่อนสายเกินไป
ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
ไส้ติ่งอักเสบ เป็นภาวะที่ไส้ติ่ง ซึ่งเป็นอวัยวะเล็ก ๆ ที่ต่ออยู่กับลำไส้ใหญ่ เกิดการอักเสบและติดเชื้อ ภาวะนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่มีโอกาสเกิดมากในช่วงอายุ 10-30 ปี
อาการของไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดท้องเริ่มจากรอบสะดือและค่อย ๆ ย้ายไปที่ท้องด้านขวาล่าง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- มีไข้
- ท้องอืด ท้องเสีย
สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ
- การอุดตันในไส้ติ่ง เช่น ก้อนอุจจาระ
- การติดเชื้อในทางเดินอาหารที่แพร่กระจายเข้าสู่ไส้ติ่ง
ภาวะแทรกซ้อน
หากไม่ได้รับการรักษา ไส้ติ่งอาจแตก ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงในช่องท้อง (Peritonitis) ซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิต
การวินิจฉัย
- การตรวจร่างกาย: แพทย์กดท้องเพื่อตรวจบริเวณที่ปวด
- การตรวจเลือด: เพื่อตรวจหาการอักเสบ
- การตรวจภาพ: เช่น อัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
การรักษา
- การผ่าตัดไส้ติ่งออก (Appendectomy)
- สามารถทำได้ทั้งแบบเปิด (Open surgery) และแบบส่องกล้อง (Laparoscopic surgery)
- ยาปฏิชีวนะ: ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที หรือในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน
การดูแลหลังการรักษา
- หลีกเลี่ยงการออกแรงหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
- รับประทานอาหารย่อยง่ายและดื่มน้ำมาก ๆ
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูงหรือแผลบวมแดง ควรรีบพบแพทย์
หากมีอาการสงสัยไส้ติ่งอักเสบ เช่น ปวดท้องด้านขวาล่าง ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer)
มะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร มักเริ่มจากติ่งเนื้อ (Polyp) ที่เปลี่ยนแปลงผิดปกติและพัฒนาเป็นมะเร็งในเวลาต่อมา
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อยผิดปกติ อุจจาระมีลักษณะเล็กลง มีเลือดปน หรือสีดำ
- ปวดท้องหรือแน่นท้อง
- เบื่ออาหารและน้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ
- อาการอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย ซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง
ปัจจัยเสี่ยง
- อายุ: มักพบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- ประวัติครอบครัว: สมาชิกในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่: บางชนิดมีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็ง
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต: การรับประทานอาหารไขมันสูง การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง: เช่น Crohn’s หรือ Ulcerative colitis
การวินิจฉัย
- การตรวจอุจจาระ (FOBT): ตรวจหาเลือดในอุจจาระ
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy): เพื่อตรวจหาติ่งเนื้อหรือมะเร็ง
- การตรวจภาพ: เช่น การเอกซเรย์หรือ CT scan
- การตรวจชิ้นเนื้อ: เพื่อตรวจยืนยันการเป็นมะเร็ง
การรักษา
- การผ่าตัด: เป็นการรักษาหลักในกรณีที่มะเร็งยังไม่ลุกลาม
- การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)
- การฉายรังสี (Radiotherapy)
- การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy)
การป้องกัน
- รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ลดการบริโภคเนื้อแดงและอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
ความสำคัญของการตรวจคัดกรอง
การตรวจคัดกรองช่วยค้นพบติ่งเนื้อหรือมะเร็งในระยะแรกเริ่ม ซึ่งเพิ่มโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูงถึง 90%
การติดเชื้อ H. pylori (Helicobacter pylori)
H. pylori เป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร
ลักษณะของเชื้อ H. pylori
- มีรูปร่างคล้ายเกลียว
- ทนต่อสภาพกรดในกระเพาะอาหาร
- สร้างเอนไซม์ยูรีเอส (Urease) เพื่อปรับสภาพแวดล้อม
อาการของการติดเชื้อ H. pylori
- ปวดท้องใต้ลิ้นปี่ โดยเฉพาะตอนท้องว่าง
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระดำ
- เบื่ออาหารและน้ำหนักลด
การวินิจฉัย
- การตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test)
- การตรวจอุจจาระ
- การตรวจเลือด
- การส่องกล้อง
การรักษา
- ยาปฏิชีวนะ: เช่น Amoxicillin และ Clarithromycin
- ยาลดกรด: เช่น Proton Pump Inhibitors (PPIs)
- ยาป้องกันเยื่อบุในกระเพาะอาหาร: เช่น Bismuth subsalicylate
การป้องกันการติดเชื้อ
- รับประทานอาหารและน้ำที่สะอาด
- ล้างมือให้สะอาด
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่น
ความสำคัญของการรักษา
หากไม่รักษา อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง และมะเร็งกระเพาะอาหาร
นายแพทย์เฉลิมวุฒิ โคตุทา
ศัลยแพทย์